หลังจากที่จีนดำเนินนโยบาย Zero-COVID มายาวนานกว่า 3 ปี การเปิดประเทศจีนในเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการส่งออกสินค้าไทยไปขายยังตลาดจีน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่อยากบุกตลาดจีนบ้าง ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ! อย่างไรก็ตามตลาดจีนถือเป็นตลาดปราบเซียน เพราะการแข่งขันสูงและมีผู้ประกอบการจ้องจะเข้าสู่ตลาดตลอดเวลา ดังนั้นก่อนจะลงสนาม เราได้รวบรวม 3 สิ่งที่ต้องรู้ เกี่ยวกับการส่งสินค้าไทยไปตลาดจีน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
3 สิ่งที่ต้องรู้ เมื่อส่งสินค้าไทยไปตลาดจีน 2566
1. สินค้าไทยที่คนจีนชอบ
ก่อนลงสู่สนามตลาดจีน สิ่งแรกที่ต้องคิด คือ จะขายอะไรดี ? เมื่อกลุ่มเป้าหมายครั้งนี้เป็นคนจีน ดังนั้นสินค้าไทยที่ต้องการในตลาดจีนจะแตกต่างจากตลาดไทย ในบทความนี้จะขอยกตัวอย่างสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดออนไลน์จีน 5 ชนิด เพื่อเป็นไอเดียสำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่
- ผลไม้อบแห้ง - ผลไม้ไทย เป็นของขึ้นชื่อและเป็นที่ชื่นชอบของชาวจึนเป็นอย่างมาก เมื่อนำมาแปรรูปด้วยการอบแห้งจึงได้รับความนิยม เพราะทำให้ผลไม้เก็บรักษาได้นานขึ้น
- หมอนยางพารา - หมอนยางพารามีประโยชน์ในด้านสุขภาพ ทำให้นอนหลับสบาย จึงมีความต้องการสูงในตลาดจีน ถึงขนาดที่ว่าหากหมอนยางพารามีคำว่า “Made in Thailand” ติดอยู่บนฉลาก จะเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพและต้องตาต้องใจนักช้อปชาวจีนเป็นอย่างมาก
- ขนมขบเคี้ยวไทย - ขนมและของทานเล่นจากไทย เป็นที่นิยมมากในตลาดจีน เพราะรสชาติถูกปากและทานง่าย เช่น สาหร่ายอบกรอบ นมอัดเม็ด
- ยาต่าง ๆ - ยาต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยาหอม ยาหม่อง ยาดม เป็นที่ต้องการของชาวจีนเป็นอย่างมาก รวมไปถึงยาบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ยาอมแก้เจ็บคอตราตะขาบห้าตัว ก็เป็นที่นิยมมาอย่างยาวนานเช่นกัน
- เครื่องอาง สกินแคร์ - เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ลิปสติก ก็เป็นประเภทสินค้าที่สามารถครองใจผู้บริโภคชาวจีนได้เช่นกัน
2. ช่องทางการขายของออนไลน์ในจีน
ในยุคสมัยนี้การขายของในตลาดจีนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะจีนมีช่องทางการขายของออนไลน์จำนวนมาก เพื่อตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าต่างประเทศที่อยากเข้าสู่ตลาดจีน วันนี้เราจะยกตัวอย่าง 4 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีน ได้แก่
- Alibaba - แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่มุ่งขายสินค้าแบบ B2B (Business To Businees) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก การขายของใน alibaba มีขายส่ง และขายปลีกครอบคลุมสินค้าทุกประเภท จึงมั่นใจได้ว่าถ้าขายของใน alibaba สินค้าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
- Tmall - แพลตฟอร์มค้าปลีกแบบ B2C (Business to Customer) เป็นการขายระหว่างเจ้าของแบรนด์และผู้บริโภค มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะสินค้าทุกชิ้นจะต้องมีการจดทะเบียนการค้าที่ถูกต้องก่อนวางจำหน่าย
- Taobao - แพลตฟอร์มค้าปลีกแบบ C2C (Customer to Customer) หรือร้านค้าปลีกส่วนบุคคล จะมีตั้งแต่ร้านเล็ก ๆ ไปจนถึงแบรนด์ที่ยังไม่มีชื่อเสียง สามารถขายสินค้าบนแพลตฟอร์มได้ฟรี และเก็บค่าค่าบริการเมื่อมีการซื้อสินค้า หรือผู้ขายต้องการทำโฆษณา
- 1688 - แพลตฟอร์มค้าส่งในประเทศจีน ได้รับความนิยมจากบริษัทต่าง ๆ ในประเทศจีนที่ต้องการสินค้าปริมาณมาก โดยแพลตฟอร์มจะเก็บค่าบริการจากค่าบริการสมาชิกและค่าบริการเสริม เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลและบริการด้านการตลาดออนไลน์
3. วิธีการจัดส่ง
สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือการเลือกวิธีการจัดส่งของไปจีน โดยจะต้องพิจารณาจากค่าขนส่งและค่าภาษี วิธีการจัดส่งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่
- ทางรถ - การจัดส่งทางรถเหมาะกับสินค้าที่ราคาไม่สูงมาก แต่จะใช้เวลาในการจัดส่ง โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์สินค้าจะถึงประเทศจีน การขนส่งทางรถสามารถแชร์ตู้คอนเทนเนอร์กับคนอื่นได้ โดยปัจจุบันมีบริษัทที่ให้บริการขนส่งจากไทยไปจีน เช่น Yunda Express เป็นต้น
- ทางเครื่องบิน - การจัดส่งทางเครื่องบินเหมาะสำหรับสินค้าที่มีราคาสูง เป็นวิธีที่เร็วที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 วันถึงประเทศจึน แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการจัดส่งทางรถ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการจัดส่งทางเครื่องบินหลายบริษัท เช่น DHL, RNP Express, LiDi express เป็นต้น
- โกดัง - วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เราส่งของจำนวนหนึ่งไปเก็บอยู่ในโกดังที่ประเทศจีน โดยโกดังจะทำการส่งของให้เมื่อมีออเดอร์ ทำให้ของถึงมือลูกค้าได้เร็วขึ้น
Alibaba ช่องทางบุกตลาดจีน
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูล 3 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนส่งออกสินค้าไปประเทศจีนที่เรานำมาฝาก เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับเจ้าของธุรกิจที่วางแผนส่งออกสินค้าไปประเทศจีน หรือคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ โดยตลาดจีนยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว และสำหรับใครที่อยากส่งของไปจีนแต่ไม่รู้จะเลือกแพลตฟอร์มใด AJ E-Commerce ขอแนะนำแพลตฟอร์ม Alibaba ช่องทางบุกตลาดจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเราพร้อมดูแลให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขายของใน alibaba แบบครบวงจร ช่วยให้คุณสามารถส่งของไปจีนได้สำเร็จ